#วัฒนธรรมเสือบิน
หลายๆ คนคงสงสัยว่า "นำ้ส้มสายชู (vinegar)" ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีที่มาที่ไปอย่างไร มีตั้งหลายแบบให้เลือกใช้ เกิดขึ้นตอนไหน แล้วทำไมจึงเกิดเป็น "นำ้ส้มสายชู (vinegar)" มาอ่านต่อเพิ่มเติมเกร็ดความรู้ยามว่างกันดีกว่า
เริ่มจากการได้ข้อมูลของนักโบราณคดี ในการขุดค้นพบหลักฐานเครื่องปั้นดินเผาของชาวอิยิปต์โบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ (BC) ซึ่งถูกตั้งสันนิษฐานว่าอาจเป็นภาชนะที่เคยใช้บรรจุไวน์และนำ้ส้มสายชูจากหลักฐานทางภาพวาดจิตรกรรมบนฝาผนัง เมื่อศึกษาเชื่อมโยงไปถึงวัฒนธรรมการดื่มไวน์ของชาวกรีก-โรมันโบราณในยุคสมัยเดียวกัน ก็พบหลักฐานที่คล้ายคลึงกัน โดยชาวบ้านโบราณในสมัยนั้นนิยมนำผลไม้หรือธัญพืชต่างๆ มาแปรรูปเป็นเครื่องดื่มแอลกกอฮอล์หรือ "ไวน์" โดยอาศัยยีสต์ที่อยู่ในธรรมชาติมากินน้ำตาลจากธัญพืชและนำ้ผลไม้ แล้วเปลี่ยนนำ้ตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ที่สามารถเก็บไว้ดื่มในชีวิตประจำวันและเพื่อการเฉลิมฉลองได้ตลอดทั้งปี แต่ชาวบ้านในสมัยนั้นยังไม่รู้จักวิธีการคงสภาพไวน์ให้ไม่แปรรูป เมื่อมีการเดินทางขนส่งไวน์ข้ามทวีปด้วยระยะเวลานาน ทำให้ไวน์เกิดแปรสภาพเป็น "ไวน์เปรี้ยว" เมื่อถึงที่หมายหรือเป็นที่มาของรากศัพท์คำว่า "Vinegar" ซึ่งเกิดจากจุลินทรีย์ตามธรรมชาติในอากาศทำปฏิกิริยากับแอกกอฮอล์ในไวน์และสร้างกรดอินทรีย์ธรรมชาติที่ให้รสเปรี้ยวขึ้นมาแทนที่ จึงเป็นต้นกำเนิดของ "นำ้ส้มสายชูหมัก"
ตั้งแต่นั้นมานำ้ส้มสายชูหมักจึงกลายเป็นวัตถุดิบประจำครัวเรือนในการปรุงอาหารและถนอมอาหารในทุกๆบ้าน เช่น การนำมาดองผักผลไม้ หรือผสมนำ้ดื่มเป็นยาสร้างภูมิต้านทานโรค เป็นต้น นอกจากจะใช้บริโภคกันเองภายในครัวเรือนแล้ว ตอนหลังก็เริ่มมีการแลกเปลี่ยนค้าขายสินค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ชาวบาบิโลนในตะวันออกกลางจะมีสินค้าประจำท้องถิ่นเป็นน้ำส้มสายชูหมักจากผลอินทผาลัม (Date Vinegar) ชาวอียิปต์มีน้ำส้มสายชูหมักจากข้าวบาร์เล่ย์ (Barley Vinegar) ที่เหลือมาจากการหมักเบียร์ ชาวญี่ปุ่นมีน้ำส้มสายชูหมักจากข้าว (Rice Vinegar) ที่เหลือจากการหมักเหล้าสาเกไว้คลุกข้าวทำซูชิ ชาวอังกฤษมีนำ้ส้มสายชูหมักจากมอลต์ (Malt Vinegar) ที่ได้จากการหมักเบียร์ (Ale) ไว้กินคู่กับฟิชแอนด์ชิปส์ ชาวยุโรปมีน้ำส้มสายชูหมักจากองุ่นหรือที่เรียกว่า "บาซามิกเวนิก้า (Balsamic Vinegar)" ที่เหลือจากการหมักไวน์องุ่นนำมาทาคู่กับสลัด ส่วนเอเชียตะวันตกเฉียงใต้แถบประเทศเราก็มีนำ้ส้มสายชูหมักจากมะพร้าว (Coconut Vinegar) ใช้เป็นส่วนผสมในการทำน้ำจิ้มต่างๆ เพราะอยู่ในพื้นที่ปลูกมะพร้าวเป็นพืชท้องถิ่น พบได้มากในแถบประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและศรีลังกา
ต่อมาช่วงยุคกลาง เกิดโรคระบาดอย่างรุนแรงในกองทัพทหารโรมันโดยมีต้นเหตุมาจากการดื่มที่ไม่สะอาด หมอประจำกองทัพทหารจึงนำน้ำส้มสายชูหมักผสมลงในน้ำดื่มให้แก่กองทัพทหารดื่มเพื่อรักษาโรคและเพื่อให้มั่นใจว่าน้ำที่ดื่มนั้นปลอดภัยจากเชื้อโรค โดยมีบันทึกในช่วงก่อนคริสตศักราชที่ 460-370 ของ ฮิปโปคัส นักฟิสิกส์ชาวกรีกโบราณหรือบิดาแห่งการแพทย์สมัยใหม่ ถึงการใช้น้ำส้มสายชูหมักในการรักษาโรคต่างๆ ว่าน้ำส้มสายชูหมักผสมกับน้ำผึ้งสามารถช่วยปรับสภาพความสมดุลภายในร่างกายและช่วยรักษาโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหวัด โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร ให้ดีขึ้น จนพัฒนาไปสู่การผสมกับสมุนไพรชนิดต่างๆ ให้เป็นเครื่องดื่มบำรุงเพื่อสุขภาพ
ต่อมา ค.ศ. 1400 โรงงานผลิตน้ำส้มสายชูหมักแห่งแรกได้ตั้งขึ้นในประเทศฝรั่งเศส ด้วยระบบการหมักแบบดั้งเดิมด้วยถังไม้โอ๊คที่เรียกว่า "การหมักระบบออร์ลีน (Orlean Process)" เป็นรูปแบบการหมักที่ผลิตต่อจากการทำไวน์โดยใช้นำ้องุ่นเป็นตัวตั้งต้น นำ้ส้มสายชูหมักที่ได้จะมีกลิ่นรสหอมไม้โอ๊คอ่อนๆผสมอยู่ด้วย ซึ่ง "การหมักแบบดั้งเดิม (Slow Process)" นี้จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศและภูมิภาค เช่น แถบเอเชียบ้านเราก็จะใช้ถังไม้สัก ไม้สน หรือภาชนะดินเผาในการหมัก ระบบการหมักแบบดั้งเดิมนี้ต้องอาศัยระยะเวลานานตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป เพื่อให้ยีสต์และจุลินทรีย์ได้ทำงานอย่างธรรมชาติ ค่อยเป็นค่อยไปจนกลายมาเป็นน้ำส้มสายชูหมัก รสชาติที่ได้จะหอมและอร่อยกว่านำ้ส้มสายชูชนิดอื่นๆ
เมื่อประชากรโลกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เปลี่ยนเข้าสู่ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) ได้ประดิษฐ์เครื่องผลิตและกลั่นน้ำส้มสายชูอัตโนมัติด้วยระยะเวลาผลิตอันสั้นในปริมาณมหาศาล จากที่ใช้ระยะเวลา 3 เดือนลดเหลือเพียงแค่ 3 วัน น้ำส้มสายชูกลั่น (white vinegar) จึงถูกผลิตขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมอาหารและร้านค้าที่ต้องการลดต้นทุนวัตถุดิบของตน จนกระทั่งต้นศตวรรษที่ 20 การขุดเจาะน้ำมันดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเพื่อผลิตเชื้อเพลิงและสารเคมีต่างๆ ได้ถูกค้นพบและใช้กันอย่างแพร่หลาย ทำให้เกิด "น้ำส้มสายชูเทียม (synthetic vinegar)" หรือกรดน้ำส้มชนิดเข้มข้น 100% (Glacial Acetic Acid) ที่มีราคาแสนจะถูกแบบสุดๆ จากหนึ่งในเคมีที่ได้ในการกลั่นลำดับส่วนของน้ำมันดิบ มาสู่การบริโภคอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมและร้านอาหาร
ในปัจจุบัน นำ้ส้มสายชูจึงสามารถแบ่งได้ง่ายๆออกเป็น 3 ประเภทตามลักษณะการเกิด โดยจะเห็นได้ว่าน้ำส้มสายชูถูกพัฒนามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและมีวิธีการนำไปใช้งานอย่างมากมาย แต่ถ้าอยากเอาแบบสบายใจไร้กังกล ลองใช้น้ำส้มสายชูหมักแท้ ตราเสือบิน ที่ผลิตจากน้ำหวานของดอกมะพร้าวธรรมชาติแท้ๆมากว่า 80ปี ไม่มีกลิ่นเปรี้ยวฉุน มีแต่กลิ่นหอมมะพร้าวอ่อนๆ รสชาติไม่เปรี้ยวแหลมบาดคอ ใช้งานได้ง่ายแถมปลอดภัย
น้ำส้มสายชูหมักแท้ ตรา เสือบิน "สะอาด ปลอดภัย ดีต่อใจ กินกับอะไรก็อร่อย" ใช้แล้วสบายใจ ผลิตจากดอกมะพร้าวแท้ 100% หมักธรรมชาตินาน 4 เดือน ต้นตำรับกว่า 80 ปี
Coconut Flower Vinegar : Suaebin Brand
Graphic by www.freepik.com
Comments