#วัฒนธรรมเสือบิน
หลายคนอาจสงสัยว่าน้ำส้มสายชู (vinegar) มีตั้งหลายแบบมากมาย แล้ว "น้ำส้มสายชูหมักแท้" มีกระบวนการทำอย่างไรหล่ะ? มาดูกันได้เลย
คัดเลือกวัตถุดิบ :
ถือเป็นหัวใจสำคัญที่นำไปสู่คุณภาพของน้ำส้มสายชูหมักที่ดี ก็เหมือนกับไวน์ (wine) ที่ดีนั่นแหละถ้าได้สายพันธุ์องุ่นที่ดี ถูกปลูกในลักษณะภูมิประเทศที่เหมาะสม รสชาติของวัตถุดิบก็จะมีคุณภาพสูงและการนำมาหมักต่อก็จะยิ่งได้คุณภาพสูงตามไปด้วย ตัวอย่างเช่น น้ำส้มสายชูหมักจากดอกมะพร้าว (coconut flower vinegar) ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์และสารอาหารจากน้ำหวานดอกมะพร้าว แม้แต่ผู้ป่วยโรคเบาหวานก็ยังสามารถรับประทานได้ด้วยค่าดัชนีน้ำตาล(GI-index)ที่ต่ำ เมื่อนำมาแปรรูปเป็นน้ำส้มสายชูหมักก็ยิ่งรับรองได้ว่าปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคทุกระดับเพราะมาจากธรรมชาติแท้ๆ
กระบวนการผลิตและระยะเวลา :
เป็นปัจจัยต่อมาที่มีผลต่อคุณภาพของน้ำส้มสายชูหมัก ในปัจจุบันมีรูปแบบการผลิตหลากหลายรูปแบบ แต่โดยหลักๆแล้ว จะแบ่งเป็น 2 ใหญ่ๆ ดังนี้
การหมักน้ำส้มสายชูแบบดั้งเดิมหรือแบบช้า (slow process หรือ traditional process) เป็นรูปแบบที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะถือว่าเป็นรูปแบบของต้นกำเนิดน้ำส้มสายชู (vinegar origin)เลยก็ว่าได้ คือการผลิตน้ำส้มสายชูแบบช้าๆอาศัยการต่อเชื้อจากจุลินทรีย์เดิม หมักในภาชนะที่มีขนาดและพื้นผิวเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ อย่างเช่น การใช้ไหดินเผา ถังไม้สนหรือถังไม้โอ๊ค ซึ่งมีพื้นผิวขรุขระมีโพรงอากาศเล็กน้อยภายใน ทำให้จุลินทรีย์ที่ผลิตกรดน้ำส้มอินทรีย์นี้เจริญเติบโตได้ดีอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะเจ้าจุลินทรีย์เหล่านี้เองก็เหมือนมนุษย์เราที่ต้องการอากาศเพื่อหายใจ ซึ่งวิธีการหมักแบบดั้งเดิมนี้จะอาศัยระยะเวลาในการหมักตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ค่อนข้างใช้เวลานาน แต่ยิ่งนานเท่าไหร่ก็ทำให้ได้รสชาติของน้ำส้มสายชูที่ยิ่งหอม อร่อยเข้มข้นขึ้นตามมาด้วย กลับไปที่ก็เหมือนไวน์ที่ยิ่งหมักนานเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งสูง รสชาติยิ่งอร่อย คุณค่าของผลิตภัณฑ์ก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
การหมักน้ำส้มสายชูแบบสมัยใหม่หรือแบบเร็ว (fast process หรือ generator process) รูปแบบการผลิตนี้เกิดขึ้นมาในช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เมื่อจำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วความต้องการอาหารจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้รูปแบบการผลิตน้ำส้มสายชูนี้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อตอบรับกับความต้องการของประชากรโลก จากรูปแบบดั้งเดิมที่ต้องหมักแบบช้าๆนาน 3 เดือนขึ้นไปเปลี่ยนมาเป็นเหลือเพียงแค่ 3 วัน โดยผลิตผ่านเครื่องจักรที่เรียกว่า generator จุลินทรีย์ที่ผลิตน้ำส้มสายชูจากที่ค่อยๆเติบโตอย่างช้าๆ ถูกเร่งให้เจริญเติบโตไวขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยกระบวนการอัดอากาศ ก็เหมือนกับการให้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตกับสัตว์ต่างๆ เช่น วัว ไก่ หมูนั่นเอง วิธีนี้แม้จะได้น้ำส้มสายชูหมักที่เร็วก็จริง แต่รสชาติจะแตกต่างจากการหมักแบบดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง รสชาติค่อนข้างเปรี้ยวแหลม กลิ่นไม่หอมละมุนเท่ากับการหมักแบบดั้งเดิม
คำถาม >> แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำส้มสายชูหมักยี่ห้อไหน? ที่หมักแบบดั้งเดิมหรือหมักแบบสมัยใหม่
คำตอบ >> ในส่วนนี้ยังค่อนข้างคลุมเครือ นอกจากต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนของแบรนด์สินค้าว่ามีกระบวนการผลิตอย่างไร หรือทดสอบจากการชิมและดมกลิ่นของน้ำส้มสายชูหมักดู
การตรวจสอบคุณภาพน้ำส้มสายชูหมัก :
หากกล่าวถึงลักษณะการหมักน้ำส้มสายชูแบบดั้งเดิม การตรวจสอบคุณภาพยังคงต้องอาศัยเทคนิคความชำนาญส่วนบุคคลที่ส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่นหรือที่เรียกว่า "vinegar master" เข้ามาช่วยในการทดสอบรสชาติและกลิ่น (sensory) ของน้ำส้มสายชูเป็นระยะๆ แตกต่างจากการหมักแบบสมัยใหม่ที่อาศัยเครื่องจักร สามารถผลิตออกมาได้รสชาติเดียวเหมือนกันหมด
จริงๆแล้วใครที่อยู่บ้านว่างๆ แล้วกำลังมองหากิจกรรมยามว่างด้วยการทำน้ำส้มสายชูหมักสูตรโฮมเมดไว้รับประทานเองก็ยังได้ เลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ สะอาดปลอดภัย และใช้วิธีการหมักน้ำส้มสายชูแบบดั้งเดิมนี่แหละ เพียงแค่ใช้ภาชนะเป็นโหลแก้วและใช้เชื้อน้ำส้มสายชูเดิมจากน้ำส้มสายชูหมักแท้ที่หมักแบบดั้งเดิม ซึ่งจะมาพร้อมกับจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เทใส่ลงไปประมาณ 5% ของทั้งหมด ปิดผ้าขาวบางที่ปากโหลเพื่อกันแมลงและฝุ่น ทิ้งไว้ซัก 3-4 เดือนก็รับประทานได้แล้ว!
น้ำส้มสายชูหมักแท้ ตรา เสือบิน "สะอาด ปลอดภัย ดีต่อใจ กินกับอะไรก็อร่อย" ใช้แล้วสบายใจ ผลิตจากดอกมะพร้าวแท้ 100% หมักธรรมชาตินาน 4 เดือน ต้นตำรับกว่า 80 ปี
Coconut Flower Vinegar : Suaebin Brand
Graphic by www.freepik.com
Comments